10 หนังซอมบี้ สนุกที่ไม่ควรพลาด

10 หนังซอมบี้ สนุกที่ไม่ควรพลาด

10 หนังซอมบี้ ที่ต้องดู! อันดับแห่งความสยองขวัญ หนังซอมบี้คือแนวหนังที่นักโรคจะหลุดออกมาจากสุสานและเข้ามาครอบครองโลกของเรา

เชื่อว่าทุกคนจะมี หนังซอมบี้ ความคิดเหมือนกับผมในเรื่องของสถานการณ์ COVID-19 ที่มีความคล้ายคลึงกับภาพยนตร์ซอมบี้ ดังนั้นเพื่อนๆ มีที่มาที่เหมาะสมที่จะสนทนาเกี่ยวกับหนังซอมบี้ในช่วงนี้ ผมได้จัดอันดับหนังซอมบี้ที่เป็นที่รักในใจ

สถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ได้สร้างความหลากหลายในการมองหาความหมายและการจัดการกับสถานการณ์ที่น่ากลัวนี้ มีหลายคนที่รู้สึกว่ามันคล้ายคลึงกับฉากในหนังซอมบี้ที่เราค่อนข้างจะคุ้นเคย

นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการแบ่งปันในบทความนี้ ถึงแม้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ชื่นชอบความหลอน แต่มีหลายเรื่องที่ทุกคนควรให้โอกาส! นี่คืออันดับ 10 หนังซอมบี้ที่เราคิดว่าคุณไม่ควรพลาด @line 

One Cut of the Dead (2018)

One Cut of the Dead: การตกแต่งหนังซอมบี้ที่ไม่เหมือนใคร

เริ่มต้นด้วยชื่อเรื่องที่น่าสนใจ “One Cut of the Dead” หรือ “วันคัท ซอมบี้ งับๆๆๆ” ซึ่งทำเข้ามาในกระแสของหนังและกลายเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดของญี่ปุ่นในปีหนึ่ง ๆ นับตั้งแต่ตอนเปิดตัวในไทย

One Cut of the Dead ไม่ได้เป็นหนังซอมบี้ที่ธรรมดา มีการนำเสนอเนื้อเรื่องที่งดงาม และทำให้ต้องยิ้มได้ในหลายฉาก โดยผู้กำกับ Shinichiro Ueda นำเสนอฝีมือที่ไม่ธรรมดาในการกลับรอยกับซอมบี้แนวโน้มตลก

ความโดดเด่นของ One Cut of the Dead คือ Long Take ยาวถึง 37 นาทีที่ทำให้ผู้ชมต้องประทับใจ และได้เห็นเบื้องหลังการทำงานที่มีความสนุกสนาน

ผู้กำกับ, เขียนบท และตัดต่อทุกขั้นตอนของ One Cut of the Dead นั้นได้สร้างผลงานที่ไม่เหมือนใคร กำลังได้รับความรู้สึกดีจากผู้ชม

One Cut of the Dead นับว่าเป็นหนังที่ทำให้คุณต้องยกมือไหว้ ด้วยคะแนน 10/10 แม้ว่ายังมีเรื่องที่ชอบมากกว่า แต่ก็ไม่สามารถประทับใจได้มากนัก

Warm Bodies (2013)

เซ็นเซชั่นซอมบี้: รักของซอมบี้ชื่อ R

เป็นชายหนุ่มที่ยังไม่เคยมีแฟนเลย, ชีวิตของเขาจะไปได้ดีไปแย่ทั้งนั้น จนกระทั่งโชคร้ายแห่งซอมบี้เข้ามาแทรกแซง และในที่สุด, ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงอย่างไม่รู้ตัว

เมื่อ R กลายเป็นซอมบี้, เขาเสียทั้งหมดล้วน, ยกเว้นชื่อของเขาที่เริ่มด้วยตัว R. แต่เมื่อเขากินเหยื่อ, ความทรงจำและความรู้สึกก็กลับมาเต็มไปหมด!

และเมื่อ R ตกหลุมรักกับสาวหนึ่งในที่นั่น, เริ่มต้นเรื่องราวรักที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิตที่ผู้คนคาดหวัง ระหว่างล่าเหยื่อ, เขาพาเธอกลับมาใช้ชีวิตในโลกที่มีเพียงความรักและฝัน

เข้าสู่โลกของเซ็นเซชั่นซอมบี้กับ R และรับชมการผจญภัยของเขาในการมีชีวิตใหม่ ที่มีรสนิยมความรู้สึกและความรักที่กลับมาพร้อมกับความมีชีวิตอีกครั้ง

World War Z (2013)

เรื่อง “World War Z” ภาพยนตร์ที่นำโดย Brad Pitt เล่าถึงเรื่องราวของ Gerry Lane, เจ้าหน้าที่สหประชาชาติที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติการระบาดของซอมบี้

และต้องอพยพครอบครัวของเขาจากการลุกขึ้นมาช่วยเหลือมนุษยชาติทั่วโลก ในที่สุดเขาค้นพบว่าต้นกำเนิดของไวรัสซอมบี้นี้อาจมีต้นทางที่เกาหลีเหนือ

เนื้อหานี้มีความสนุกสนานจากการลุ้นระทึกและความตื่นเต้นในการเอาชีวิตรอด ภาพยนตร์นี้นับเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่มีจำนวนซอมบี้มากที่สุดที่เคยดูมา

มีการปรากฏตัวของซอมบี้แบบยูเนิคที่ออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม โดยที่มันไม่เพียงแค่มีจำนวนมากแต่ยังวิ่งเร็วมาก ถือเป็นซอมบี้ที่ไม่ค่อยเห็นมาก่อน ทำให้มีความตื่นเต้นมากขึ้น

Dawn of the Dead (2004)

Dawn of the Dead” (2004) หรือ “รุ่งอรุณแห่งความตาย” นำเสนอโดยกำกับโดย Zack Snyder, ผู้กำกับที่เคยมีผลงานมากมายเช่น “300” (2006), “Watchmen” (2009), “Man of Steel” (2013), “Batman v Superman” (2016), และเป็นผู้กำกับของเวอร์ชันที่ถูกต้องของ Justice League (2017), ทำให้เรารู้ถึงความเฉพาะเจาะจงและมุ่งมั่นของผู้กำกับในการนำเสนอนี้.

ใน “Dawn of the Dead” เวอร์ชัน 2004, Snyder ได้ทำการนำเสนอเนื้อหาและบรรยากาศของภาพยนตร์แนวซอมบี้ (Zombie) ในมิติใหม่ที่น่าสนใจ.

นอกจากการเล่าเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นของกลุ่มคนที่ต้องหาทางรอดจากภัยซอมบี้, เขายังมีการใช้ฉากและมุมมองของกล้องที่วิจารณ์ได้มีความสำคัญในการสร้างความตึงเครียดและความรู้สึกของผู้ชม.

การตัดต่อของ Snyder ได้ถูกปรับปรุงอย่างลงตัวเพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบการรับชมบนเว็บไซต์ โดยมีการจัดหน้าข้อความให้กระชับและน่าสนใจตลอดเนื้อหา.

การจัดการระยะคำและการแบ่งย่อหน้าถูกทำเพื่อความอ่านสะดวกและกระชับ. นอกจากนี้, การเพิ่มข้อมูลที่มีน้ำหนักและน่าสนใจเพิ่มเติมเข้าไปในเนื้อหาจะช่วยเสริมสร้างความสนใจของผู้อ่าน.

เวอร์ชันของ Snyder จึงได้ผลิตผลงานที่น่าสนใจและท้าทายความสามารถของเราในการมองตามเนื้อหาบนเว็บไซต์, และกลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ไม่ควรพลาดของแฟนๆภาพยนตร์แนวซอมบี้

I Am A Hero (2015)

I Am Hero มีสาระและความน่าสนใจอย่างมาก อย่างไรก็ตาม, เพื่อให้บทความดึงดูดผู้อ่านมากยิ่งขึ้นและเหมาะสมกับการอ่านบนเว็บไซต์ ลองปรับแต่งบทความดังนี้:

“ผลงานที่นำเสนอทางซอมบี้จากแดนอาทิศที่ไม่ค่อยมีใครลอยตัวมาก่อนนี้ มาจากมือกำกับ Shinsuke Sato ผู้ที่โด่งดังในวงการแก้บทความมังงะให้เป็นหนังที่โดดเด่น

เขาได้รับความนิยมจากผลงานอย่าง Gantz (2010), Death Note (2016), Inuyashiki, และ Bleach ที่ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้ชมทั่วโลก ภาพยนตร์นี้มีต้นฉบับมาจากมังงะชื่อเดียวกันที่ตลกตอบสนองความสนใจได้อย่างมาก ทำให้ผู้ไม่ค่อยสนใจแนวนี้ก็ได้มีโอกาสลองอ่านบางครั้ง

“I Am Hero” เล่าเรื่องราวของ Hideo Suzuki, นักวาดการ์ตูนที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ประหลาดที่ทำให้โลกแปลกตามองไปเป็นที่ร้ายและสยองขวัญ โลกที่เคยทรงพลังของเขาก็หลับไม่ตื่น และคนที่เคยรักใคร่เขาก็กลายเป็นซอมบี้ห่างหายไป เขาต้องใช้ทุกท่าทางที่มีในมือ เช่น ลูกซองที่ถูกเก็บไว้เพื่อปกป้องผู้รอดชีวิตจากไวรัส ZQN ที่ครอบครองโลก

28 Days Later... (2002) + 28 Weeks Later (2007)

ในอันดับที่ 5 ของรายการหนังซอมบี้ที่ไม่สามารถเลือกได้จริงๆ คือ “28 Days Later” และ “28 Weeks Later” ภาพยนตร์ทั้งสองนี้เป็นเรื่องราวที่นำเสนอมิติใหม่ของโลกที่ว่างเปล่า จากการทดลองที่เป็นมิตรกับชิมแฟนซีที่ผ่านการปลดปล่อย ทั้ง 28 วันและ 28 สัปดาห์หลังจากนั้น นี่คือสิ่งที่ทำให้ทั้งสองเรื่องเป็นประวัติการณ์สำคัญในโลกของหนังซอมบี้.

28 Days Later: ระบาดแรกและความล้มเหลวของมนุษยชาติ 28 Days Later” เป็นผลงานของกำกับ Danny Boyle ซึ่งได้ผลัดกันในหลายผลงานที่ประสบความสำเร็จ

เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แรกที่นำเสนอโลกของซอมบี้ในมุมมองใหม่ โดยชีวิตปรับตัวลงจากความโกลาหลของมนุษยชาติไปสู่ที่ว่างเปล่าและเงียบสงัด ไม่ได้เน้นเพียงแค่การล่าซอมบี้ แต่ยังเน้นไปที่การรอดตัวระหว่างมนุษยชาติที่กำลังไล่ฆ่ากัน

ส่วนต่อมา 28 Weeks Later: การคืบหน้าของภาวะซอมบี้ ในภาคต่อ “28 Weeks Later” โดย Juan Carlos Fresnadillo ที่มีความเน้นที่แนวแอ็คชั่นมากขึ้น ซอมบี้กลายเป็นปรากฎการณ์ที่ทุกข์ทรมานและน่ากลัวมากขึ้น ภาพยนตร์นี้นำเสนอตำนานการคืบหน้าของภาวะซอมบี้ในท้องถิ่นใหม่ที่หวังว่าจะปลอดภัย

แต่เมื่อเด็กสองคนพบกับความจริงที่น่าสะพรึงกลัว ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่คงที่และความหวาดระแวงในการรอดตัว ความล้มเหลวของมนุษยชาติกลับเริ่มต้นอีกครั้ง

ทั้ง “28 Days Later” และ “28 Weeks Later” เป็นผลงานที่มีเนื้อหาที่น่าสนใจและเสนอมุมมองที่แตกต่างในโลกของซอมบี้ ด้วยการปรับปรุงความรวดเร็วของเรื่องราวและแอ็คชั่นที่ทำให้ผู้ชมติดตามเนื้อเรื่องได้อย่างตื่นเต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้เพลงประกอบที่มีผลต่อความรู้สึกของผู้ชม

Zombieland (2009) + Zombieland: Double Tap (2019)

Zombieland และ Zombieland: Double Tap – ซอมบี้คอเมดี้ที่ทำให้เราหัวเราะและตื่นเต้น”

อีกหนึ่งอันดับที่ไม่ควรพลาด! เราได้พบกับความสนุกที่ไม่หยุดของ Zombieland และภาคต่อ Zombieland: Double Tap ซึ่งไม่เพียงเพลิดเพลินแบบซอมบี้คอเมดี้แบบกวนๆ แต่ยังมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้เราหลงใหลทั้งคู่!

ทั้งสองภาคนี้ถูกกำกับโดย Ruben Fleischer ผู้กำกับภาคมาเฟีย Gangster Squad (2013) และเต็มไปด้วยนักแสดงที่มีความเท่ห์ปานกลาง เช่น Jesse Eisenberg, Woody Harrelson, Emma Stone, และ Abigail Breslin ทุกคน

เนื้อเรื่องของ Zombieland ไม่ต้องการการวิเคราะห์ลึก มันเรียกให้เราตามติดกับกลุ่มคนที่พยายามหลบหนีจากโลกที่เต็มไปด้วยซอมบี้ แต่ที่ทำให้น่าสนใจนั้นคือความสนุกของกลุ่มนี้ที่มีความกวน ฮา และเข้าขากันอย่างดี

พระเอกตั้งกฏในการเอาตัวรอด ทำให้เราสะกดรอยถามว่าทำไมคนทั่วไปในภาคซอมบี้ไม่ทำแบบนี้กัน? Zombieland กลับมาตอบคำถามนี้อย่างน่าสนใจ และทำให้เรายิ้มได้กับฉากสนทนาฮาๆ, การกระทำแอ็คชั่นที่น่าตื่นเต้น, และความกวนตีนที่ทำให้ภาคนี้เป็นหนังซอมบี้ที่ครบรสที่สุด

ในภาคสอง, เนื้อเรื่องต่อกันมาอย่างดี ไม่จำเป็นต้องดูภาคแรกก่อนเพื่อเข้าใจ มันมีความน่าสนใจในตัวเอง แต่การดูร่วมกับภาคแรกจะเพิ่มความสนุกอีกเป็นหลัก ความสัมพันธ์ของตัวละครเป็นส่วนที่ทำให้เราติดตามอย่างสนใจมากขึ้น

ถ้าคุณยังไม่ได้รับชม Zombieland และ Zombieland: Double Tap, เราขอแนะนำ

Train to Busan (2016)

Train to Busan: การเดินทางสู่โลกของซอมบี้ที่น่าตื่นเต้น สำหรับคนที่หลงใหลในโลกของหนังซอมบี้ เรื่อง Train to Busan ไม่ใช่เพียงแค่หนังที่ตามหา แต่เป็นการพบเจอกับเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและอลังการที่ไม่เคยมีมาก่อน

เนื้อหาที่น่าสนใจ:
เรื่องราวของไวรัสที่ระบาดในเกาหลีใต้ถูกนำมาเล่าผ่านมุมมองของชายพ่อและลูกสาว ที่ต้องเดินทางผ่านกรุงโซลไปยังปูซาน เพื่อหาความปลอดภัย

ความสนุกที่ไม่มีวันหมด:
Train to Busan นับว่าเป็นหนังที่มีทุกอย่างของความเป็นหนังซอมบี้ที่ควรมี โดยทำให้ผู้ชมได้สัมผัสความน่ากลัว ความตื่นเต้น การเอาตัวรอด และการเสียสละ ทุกๆ นาทีของเรื่อง

ภาคต้นกำเนิดที่น่าจดจำ:
ถ้าคุณยังไม่พอใจกับเรื่องราวใน Train to Busan เอง ยังมีภาคอนิเมชั่นที่เป็นภาคต้นกำเนิดชื่อ Seoul Station ที่จะพาคุณไปสู่หน้าที่ของไวรัสที่ลุกลามในกรุงโซล

ข้อเสนอแนะ:
เมื่อเทียบกับภาคต้นกำเนิด Seoul Station ก็ถือเป็นแนวคิดที่ผิดหวัง แต่ไม่ลดความน่าสนใจของ Train to Busan เอง

สรุป:
Train to Busan ไม่เพียงแค่เต็มไปด้วยความระทึกใจและสนุกสนาน แต่ยังเป็นการตื่นตาตื่นใจที่นำเสนอภาพของโลกซอมบี้ที่สมจริงและน่าตื่นเต้นมากมาย เพราะฉะนั้น ถ้าคุณยังไม่เคยสัมผัส Train to Busan ก่อนหน้านี้ ตอนนี้คงเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการตื่นตาตื่นใจให้กับตัวเอง

REC (2007)

REC เป็นหนึ่งในผลงานดีเด่นของภาพยนตร์แนวซอมบี้ที่มีความสมจริงและน่าตื่นเต้นมากที่สุดในแนวที่จับจ้องด้วยกล้องถือในขณะที่เนื้อเรื่องกำลังดำเนิน โดยที่ความเข้าใกล้ชิดของกล้อง Handheld ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงสถานการณ์และความตื่นเต้นอย่างทันที

การกำกับโดย Paco Plaza และ Jaume Balagueró ได้ผลิตผลงานที่ท้าทายและล้ำลึกที่สร้างความกลัวและตื่นเต้นอย่างมีอิทธิพล นำเสนอเรื่องราวของนักข่าวสาวที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ไม่คาดคิดในห้องอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง

เรื่องราวนี้ได้รับความนิยมถึงขั้นที่ต้องทำการรีเมคในภาพยนตร์ Quarantine ของอเมริกา เมื่อถูกทำให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมและภาษาของท้องถิ่น โดยเคยบอกว่า “REC” คือภาพยนตร์แนวซอมบี้ที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่หลงใหลในแนวหนัง Found Footage

เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและให้การอ่านที่สะดวกบนเว็บไซต์ จึงขอเสนอปรับปรุงบทความดังนี้:

“REC” ถือเป็นต้นแบบของหนังซอมบี้แนว Found Footage ที่สามารถทำให้ผู้ชมรับรู้ถึงสถานการณ์และความตื่นเต้นอย่างมีชีวิตชีวา ด้วยการถ่ายทอดภาพผ่านกล้องถือที่ทำให้เรื่องราวดูสมจริง เนื้อเรื่องเริ่มต้นที่นักข่าวสาวแห่งสเปนไปทำรายงานที่หน่วยดับเพลิง แต่เธอกลายเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาง่ายๆ เมื่อพบกับความเลวร้ายที่ซ่อนอยู่ในอพาร์ทเมนต์

กล้องถือ Handheld มีบทบาทสำคัญในการทำให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงสถานการณ์และความตื่นเต้นในขณะเดียวกัน การกำกับโดย Paco Plaza และ Jaume Balagueró มีศักยภาพในการสร้างภาพที่ท้าทายและน่าตื่นเต้น ทำให้ “REC” กลายเป็นหนังแนวซอมบี้ที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่หลงใหลในแนวหนัง Found Footage

ผลงานนี้ได้รับความนิยมมากถึงขั้นที่ต้องทำการรีเมคในภาพยนตร์ Quarantine ของอเมริกา ที่ได้รับการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมและภาษาของท้องถิ่น นับเป็นภาพยนตร์ที่มีความสมจริงและตื่นเต้นที่สร้างความกลัวได้อย่างมีอิทธิพล

Shaun of the Dead (2004)

รุ่งอรุณแห่งความวายป่วง” (Shaun of the Dead): การผสมผสานของความรักและความมืดในโลกซอมบี้

Shaun of the Dead เป็นภาพยนตร์แนว Rom-Zom-Com ที่กล่าวถึงเรื่องราวของ Shaun พนักงานขายที่ต้องเผชิญกับปัญหาในชีวิตทั้งทางส่วนตัวและทั้งโลกที่กำลังถูกบิดเบือนจากไวรัสซอมบี้.

ในภาพยนตร์นี้, Edgar Wright ใช้ความฉลาดในการผสมผสานภาพยนตร์โรแมนติก, ฮิวมอร์, และความมืดของซอมบี้อย่างลงตัว. Shaun ต้องเผชิญหน้ากับทุกข์ทรมานของความสัมพันธ์, การมีผู้เข้ามาอยู่ในบ้านโดยไม่เกรงใจ, และที่สำคัญคือการรับมือกับวิกฤติของการระบาดซอมบี้ที่กำลังลุกลามทั่วท้องถิ่น.

Edgar Wright มีความเจ๋งในการใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อเน้นเรื่องราว. การใช้ Quick Cut, เคลื่อนกล้อง, และภาพที่มีความเต็มเต็มด้วยรายละเอียดช่วยสร้างประสบการณ์การดูที่น่าสนใจและไม่เหมือนใคร. เพิ่มเติมถึงการใช้เพลงประกอบที่เพิ่มจังหวะหนังได้อย่างลงตัว.

ฉากแต่งตัวและการโพสต์มีส่วนสำคัญในการเน้นที่ลักษณะเฉพาะของตัวละครและบรรยากาศของภาพยนตร์. การแต่งตัวของ Shaun และเพื่อนสนิทสร้างความเข้ากันได้และเติบโตพร้อมกับการเดินทางของพวกเขา.

“รุ่งอรุณแห่งความวายป่วง” เป็นภาพยนตร์ที่ไม่เพียงแต่สร้างความรู้สึกให้กับผู้ชมด้วยความสนุกและฮิต, แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความเจ๋งของ Edgar Wright ในการสร้างภาพยนตร์ที่เป็นเอกลักษณ์. สมเหตุสมผลกันที่หนังนี้ยังคงเป็นหนังที่คนหลายคนยกย่องอย่างสูง

บทความเพิ่มเติม